$ZEPP: Garmin Killers?

(8 min read) Amazfit แบรนด์อุปกรณ์ Tracking จากจีน กำลังเขย่ายักษ์ใหญ่อย่าง Garmin

$ZEPP: Garmin Killers?

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกับแบรนด์นาฬิกาออกกำลังกายอย่าง Garmin เป็นอย่างดี แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้จักแบรนด์น้องใหม่มาแรงอย่าง Amazfit ซึ่งเป็นแบรนด์นาฬิกาออกกำลังกายของบริษัท Zepp health หรือ Ticker : Zepp ลิสต์อยู่ในตลาด NYSE

ถามว่ามันน่าสนใจยังไง?

เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วยราคาหุ้น Zepp ที่ขึ้นมาแล้ว15 เท่า!! จาก 3$ มา 48$ ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น!!

วันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับหุ้น Zepp ให้มากขึ้น

เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาถึงขนาดนี้ มีหลายประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และน่าเรียนรู้ในการนำไปใช้วิเคราะห์หุ้นตัวอื่นๆต่อไป

และคำถามที่สำคัญที่สุดคือ ราคาขึ้นมาขนาดนี้แล้ว ยังน่าสนใจอยู่ไหม?

Topic ที่เราจะ Cover กันในวันนี้

  1. งบการเงินที่ใครเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี!!
  2. จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: จากร่มเงาของ Xiaomi สู่ต้นกล้าต้นใหม่ที่(อาจ)จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม
  3. เราสามารถจับสัญญาณการกลับมาครั้งนี้ได้ก่อนที่ตลาดจะเฉลยหรือไม่?
  4. ตอนนี้ยังน่าลงทุนหรือไม่? ถ้าลงทุนเราต้องคาดหวังอะไรบ้าง (Valuation)

ก่อนไปเจาะลึกกัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และฝากกด Subscribe เพื่อเป็นกำลังใจ และได้รับบทความใหม่ก่อนใคร

งบการเงินที่ใครเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี!!

แน่นอนว่าหน้าต่างแรกที่เราดูกันก็คงจะเป็นรายได้ของบริษัท ผมเชื่อว่าถ้าใครเห็นกราฟรายได้เป็นภูเขาแบบนี้ก็คงเบือนหน้าหนีกันหมดแล้ว เพราะรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ $1,113 ล้าน ต่อปี เหลือเพียงแค่ $200 ล้าน

อีกทั้งกำไรจากที่เคยทำได้สูงสุดที่ $80 ล้าน แต่ล่าสุดพลิกเป็นขาดทุนราวๆ $80 ล้านเฉยเลย เห็นแบบนี้คงเลิกดูไปแล้วใช่ไหมครับ

แต่เดี๋ยวก่อนน….

นี้เป็นเพียงอดีตเท่านั้นครับ สิ่งที่เราควรดูต่อไปคืออนาคตจะเป็นยังไงมากกว่า.

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: จากร่มเงาของ Xiaomi สู่ต้นกล้าต้นใหม่ที่(อาจ)จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักบริษัทนี้ให้มากขึ้นกันก่อน

เดิมทีบริษัทนี้มีชื่อว่า Huami ทำธุรกิจแบบ OEM/ODM ให้กับ Xiaomi โดยรับหน้าที่ ออกแบบและผลิตสายรัดข้อมือและนาฬิกาอัจฉริยะภายใต้แบรนด์ Mi (Xiaomi) หลายคนอาจเคยเห็น Mi Band กันมาบ้าง ต้องบอกว่าแต่ก่อน Huami เป็นคนออกแบบและผลิตให้ แล้ว Xiaomi ทำหน้าที่จัดจำหน่าย

ซึ่งในปี 2018 รายได้ถึง2/3ของ Huami มาจากการขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Xiaomi จะเห็นว่าตอนนั้นบริษัทพึ่งพาและเติบโตไปกับ Mi band โดยตรง ราคาหุ้น รายได้ และกำไรเอง ก็เติบโตไปด้วยเช่นกัน เพราะตอนนั้น สายรัดข้อมือราคาถูกและคุ้มค่า หลายคนก็คงนึกถึง Mi Band

แต่การเป็นเพียง OEM/ODM ให้กับแบรนด์ของคนอื่นก็ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำเพียง 28% เท่านั้น และตอนนั้นบริษัทก็พึ่งพา Xiaomi มากเกินไป บริษัทเองก็เข้าใจตรงนี้ดี ในปี 2015 บริษัทจึงได้สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาชื่อว่า “Amazfit” เป็นแบรนด์ที่ค่อยๆปลุกปั้นมาเรื่อยๆ

โดยในปี 2018 บริษัทได้เข้าซื้อ Startup ที่เชี่ยวชาญในด้านอุปกรณ์เซ็นเซอร์กีฬาต่างๆ ใน California ที่มีชื่อว่า Zepp International และต่อมาในปี 2021 บริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Huami เป็น Zepp Health นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการที่จะออกมาเติบโตด้วยแบรนด์ของตัวเองแล้ว

แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น…

ปี 2020 ช่วงเดือนตุลาคม สัญญาของ Xiaomi ก็ได้สิ้นสุดลงครั้งแรก แม้จะได้ต่อสัญญาครั้งที่สองไปอีก 3 ปี แต่นี้เป็นสัญญานให้เห็นแล้วว่า บริษัทอาจจะต้องเลิกพึ่งพา Xiaomi แล้ว

แต่ในปี 2019 บริษัทมีรายได้กว่า 72% มาจากแบรนด์ Xiaomi การที่รายได้ตรงนี้หายไป เห็นได้เลยว่าถ้ารายได้จาก Amazfit ขึ้นมาไม่ทัน นี้อาจเป็นหายนะของบริษัทเลยก็ว่าได้ และถ้าเราดูย้อนหลังไปช่วงนั้น จะเห็นว่ารายได้ของบริษัทลดลงมาเรื่อยๆจากการลดลงของรายได้แบรนด์ Xiaomi นั้นเอง

2023 ธันวาคม ถือเป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์กับ Xiaomi ลง…

รายได้ และยอดขายของ Xiaomi ค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนเหลือ $0 : 0 Units ใน Q1 2025 ที่ผ่านมา ดังนั้นหลังจากนี้เราจะไม่ต้องกังวลยอดขายที่ลดลงจาก Xiaomi แล้ว และสามารถ Focus ที่ Amazfit brand อย่างเดียวพอ

ย้อนกลับไปดูกราฟราคาหุ้นจะเห็นว่าหลังจากสัญญารอบแรกหมดลง แม้จะได้ต่อสัญญารอบสองแต่ราคาหุ้นก็ลงมาเรื่อยๆ

แต่อย่างที่เห็นกันว่าจุดเปลี่ยนการกลับมารอบใหม่ของ Zepp คือการจบลงของ Xiaomi

ถ้ามาดูที่ราคาหุ้นเราจะเห็นว่าราคาเริ่มขึ้นจริงๆในวันที่ 7 July 25 และไม่กลับลงมาอีกเลย คำถามคือ เราสามารถรู้ได้ก่อนหน้านี้ไหม แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำให้มันพุ่งขึ้นมาได้ขนาดนี้….

เราสามารถจับสัญญาณการกลับมาครั้งนี้ได้ก่อนที่ตลาดจะเฉลยหรือไม่?

ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนเลยว่านี้เป็นก่อนวิเคราะห์หลังเกมส์ เพราะผมเองก็ไม่ได้ลงทุนในวันนั้นก่อนที่ราคาจะขึ้น แต่ผมคิดว่านี้จะเป็นกรณีศึกษาที่ดี ให้เราใช้ในกาติดตามหุ้นตัวอื่นๆต่อไป และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ได้อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ

อย่างแรกที่ผมสงสัยคือ ถ้าย้อนไปดูงบก่อนที่จะพุ่งขึ้นมา เราจะเห็นสัญญานอะไรก่อนไหม

ลองดูที่การเติบโตของรายได้จะเห็นว่า รายได้ยังติดลบเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ใน Q1 25 แต่ลบน้อยลงมาก และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อดูไส้ในจริงๆก็จะเห็นว่ารายได้ของแบรนด์ Amazfit เดี่ยวๆ เริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้งใน Q1 25 ถือเป็นสัญญานที่ดี แต่ตอนงบ Q1 25 ออกมาราคาหุ้นก็ยังไม่ขึ้นนะครับ มาดูกันต่อว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่จุดพลุรอบนี้จริงๆก็คือการออกสินค้าใหม่ของ Amazfit ที่เรียกได้ว่า เขย่าวงการ Fitness tracker เลยก็ว่าได้ครับ สินค้าใหม่ที่ว่านั้นก็คือ

Amazfit Helio Strap

ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จัก Whoop กันมาบ้าง เพราะเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมาในหมู่ผู้บริหารในเมืองไทยตอนนี้นะครับ Whoop ถือเป็น Fitness tracker แบบที่ไม่มีหน้าจอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ข้อเสียของ Whoop คือต้องจ่ายเป็น Subscription ปีละประมาณ 1 หมื่นบาท++

การเปิดตัว Amazfit Helio Strap ซึ่งเรียกได้ว่าทำมาคล้ายๆกับ Whoop เลยก็ว่าได้คือ Fitness tracker ที่ไม่มีหน้าจอ หลายคนอาจรู้สึกว่าก็เป็นแค่ของจีน ตัว Copy ของ Whoop เท่านั้น ซึ่งมีอีกหลายเจ้าเล็กๆน้อยๆที่ทำเหมือนๆกัน

มันคงจะ Tracking Performance อะไรต่างๆได้ไม่ดีเท่า Whoop อยู่แล้ว แต่…

ผมอยากให้ดูหน้าต่อไปให้ดีๆครับ

ข้อมูลจากช่อง The Quantified Scientist ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องรีวิวอุปกรณ์ Tracker ต่างๆ ที่เอามาเทียบๆกันว่าตัวไหนวัดค่าได้ตรงที่สุด และจัดลำดับ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจคือ Amazfit Helio Strap สามารถวัด Heart rate ได้ดีที่สุดในทุกอุปกรณ์ ในหมวด Outdoor running!!! แต่ต้องใส่ที่แขน ถึงแม้ใส่ที่ข้อมือก็ยังอยู่ในลำกับที่ดีมากๆ จากแบรนด์ที่อาจมองว่าคงวัดอะไรไม่ได้ดีเท่าแบรนด์ดังๆ แต่จากรีวิวต่างๆที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่า รุ่นใหม่ๆที่ออกมาของ Amazfit ไม่ได้ด้อยไปกว่าแบรนด์ดังๆเลย

และที่สำคัญเลยคือราคา

Whoop: Subscription หลักหมื่นต่อปี

Amazfit Helio Strap: 3,000 บาท แถมไม่มี Subscription!!!

เปิดตัวมาได้อย่างร้อนแรง จนหลายคนต้องเรียกว่าเป็น Whoop killer กันเลยทีเดียว แต่รีวิวต่างๆก็บอกตรงกันนะครับ ว่าการวัดค่าต่างๆหรือแอพ AI ของ Whoop ยังดีกว่าพอสมควร แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราคาแล้ว ถือว่า Amazfit ทำตัวมาได้น่าสนใจเลย

ตอนนี้คงมีคำถามต่อมาว่า แค่ออก Product ใหม่ มันทำให้หุ้นขึ้นได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ แล้วเราจะรู้ก่อนงบออกได้ยังไงกัน??

Instagram Trend

Keys ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเรามีโอกาสซื้อก่อนที่หุ้นจะขึ้นอีกนะ

ถ้าเราติดตามยอด Follower ใน Instagram ของ Amazfit Global เราสามารถรู้ได้เลยว่า Product นี้มันจะปังจริงๆ จะเห็นว่า Amazfit Helio Strap เปิดตัวในเดือน June และถ้าเราดูยอดผู้ติดตามในเดือน June จะเห็นว่ายอดโตขึ้นแบบน่าตกใจถึงหลักหมื่น จากที่แต่เดิมโตเดือนละพันเท่านั้น ถ้าเราเห็นยอดตรงนี้และวิเคราะห์ได้ก่อนว่า

  1. บริษัทปรับโครงสร้างเรียบร้อยแล้ว(รายได้ Xiaomi หมดแล้ว)
  2. Product ที่ออกมาใหม่เรียกว่าสู้กับแบรนด์ดังได้เลย ในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า
  3. ยอดขายน่าจะโตจริง ดูจากยอด Follower ใน Instagram

เราอาจได้ซื้อก่อนที่หุ้นจะขึ้นรอบนี้ก็ได้…(แต่อย่าลืมว่านี้มันหลังเกมส์นะครับ)

แล้วถามว่า Instagram มันบอกได้ขนาดนั้นเลยรึเปล่า ผมเคยทำวิจัยไว้พอสมควรในหลายๆ Case Study ถ้ามีคนสนใจคอมเม้นท์เรื่องนี้เป็นพิเศษ บอกกันหน่อยนะครับ เผื่อนำมาแชร์ในบทความต่อไป

Product Research

ช่วงที่ Helio Strap ออกมา ผมเองก็มีโอกาสได้ซื้อมาใช้เช่นเดียวกัน จากเดิมที่ผมเคยใช้ Garmin มาก่อน ก็รู้สึกได้เลยว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าเลยเมื่อเทียบกับราคาที่ต่างกัน และในไทยเองหลังจากเปิดตัวได้แค่วันเดียวก็ Sold out ตอนนี้น่าจะสั่งซื้อได้แต่ต้อง Pre Order เท่านั้น ในต่างประเทศเองก็เช่นกัน จึงทำให้เห็นภาพว่ามันขายดีจริงๆ

Helio Strap แล้วยังไงต่อ..

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 Sep ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัว Amazfit T-Rex 3 Pro ตัว Top รุ่นใหม่ล่าสุด ในราคาเปิดตัวประมาณ 12,000 บาท(กำลังจะวางขายในไทยวันที่ 25 Sep นี้) ถือเป็นเรือธงของ Amazfit เลยก็ว่าได้

ถ้าเราหารีวิวดูจะเริ่มเห็นว่านักรีวิวหลายๆเจ้าเอาไปเทียบกับ Garmin Fenix pro ที่ราคาสูงกว่าเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว ต้องมารอดูว่าจะขายดีแค่ไหน แต่ที่น่าสนใจคือบริษัทออก Product ถี่มาก และแต่ละตัวที่ออกมา ก็สร้างปรากฎการในตลาดได้พอสมควร ไม่ใช่แบรนด์จีนด้อยๆอีกต่อไป…

Branding

ในด้านการสร้าง Brand ส่วนตัวคิดว่าบริษัทมาถูกทาง และกำลังสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆในระดับโลก สิ่งที่สำคัญมากๆของ Product ประเภทนี้คือ คุณต้องทำให้คนเชื่อว่าของคุณดีจริง สามารถวัดค่า และวิเคราะห์ผลต่างๆออกมาได้อย่างแม่นยำจริงๆ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่ Garmin สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานทั้งเรื่อง GPS Tracking การวัด HR และค่าอื่นๆอีกมากมาย

การที่ Amazfit จะตามให้ทัน และได้รับความเชื่อมั่นในระดับเดียวกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำสินค้าออกมาให้ดีจริงๆ และหา Brand ambassador ที่เข้ากับแบรนด์

หนึ่งใน Brand ambassador ที่น่ากล่าวถึงคือ Kelvin Kiptum ผู้ที่ถือครองสถิติโลก Marathon ที่เร็วที่สุดด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี และอนาคตอีกไกล การได้ Kiptum มาใช้ Product แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า Amazfit ไม่ใช่สินค้าที่ไม่ดี เพราะอันดับ 1 ของโลกยังยอมรับ และใช้ Amazfit ในการฝึกซ้อมได้ นี้อาจเป็นการเลือก Brand ambassador ที่จะเป็นการก้าวกระโดครั้งสำคัญของแบรนด์เลยก็ว่าได้

Amazfit และ Kelvin Kiptum การร่วมมือกันเพื่อสร้างปรากฎการณ์

แต่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่หลังจากบริษัทเปิดตัว Kelvin Kiptum ได้ไม่กี่เดือนก็เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น เราได้เสียชายที่จะเป็นดาวรุ่งคนใหม่ของวงการวิ่งมาราทอนโลกไปอย่างรวดเร็วจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

แม้จะเสีย Kiptum ไป แต่บริษัทก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น

ต่อมา Amazfit ได้ไปจับกับกีฬาที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตอนนี้ นั้นคือ HYROX เป็น Official Partner ปี 2024 - 2026 สินค้าของ Amazfit สามารถ Tracking Hyrox ได้ดีที่สุด และยังเป็น Partner กับแชมป์โลก Hyrox อีกด้วย

และยังมีนักกีฬาอื่นๆที่เข้ามาเป็น Partner กับ Amazfit อยู่เรื่อยๆ

การมีนักกีฬาเหล่านี้ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของ Amazfit สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

น่าคิดนะครับ ว่าต่อไป Amazfit จะไปได้ไกลแค่ไหน ด้วยความที่เน้นเรื่อง Value to money แบบนี้ แถมนักกีฬาระดับแชมป์โลกยังยอมรับ

มาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

ตอนนี้ยังน่าลงทุนหรือไม่? ถ้าลงทุนเราต้องคาดหวังอะไรบ้าง (Valuation)

ราคาหุ้นขึ้นมา 15 เด้งแล้ว ยังจะขึ้นได้อีกไหม? มาเริ่มดูกันที่รายได้ของบริษัทกัน ตัวเทียบที่ใกล้เคียงที่สุดที่อยู่ในตลาดก็คงหนีไม่พ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Garmin

รายได้แบบ TTM ล่าสุดของ Amazfit ยังอยู่แค่ 200 ล้านเท่านั้น เมื่อเทียบกับ Garmin มีรายได้สูงถึง 6,758 ล้าน เรียกได้ว่าคนละระดับกันเลยครับ มันคงเทียบกันตอนนี้ตรงๆไม่ได้ แต่ภาพนี้ทำให้ผมเอ้ะขึ้นมาว่า ถ้า Amazfit ทำแบรนด์ได้ดีขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับขึ้น มันมีตลาดรองรับอีกมหาศาลเลยแหะ ขอแค่นิดเดียวจาก Garmin รายได้ก็เพิ่มได้เป็นเด้งๆแล้ว

แล้วด้านกำไร Gross Margin ยังต่ำกว่า Garmin เกือบครึ่ง ซึ่งเข้าใจได้เลย เพราะ Amazfit ขายราคาถูกกว่า Garmin เกือบ 3 เท่า มันคงกำไรเท่าไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราจะเห็นว่าอัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมามากจากเดิมที่ทำให้ Xiaomi อยู่ที่ระดับ 20% แต่ตอนนี้ปรับขึ้นมาแถวๆ 30 - 40% แล้ว

แล้วมูลค่าบริษัทตอนนี้อยู่ในระดับไหนแล้ว…

Market Cap

Zepp : $700m

Garmin : $45,000m

เนื่องจากบริษัทยังไม่มีกำไรสุทธิ ลองดูกันที่ P/S และ P/GP ในเบื้องต้น จะเห็นว่า P/S อยู่ที่ 3.5x และ P/GP 9.2x ซึ่งยังน้อยกว่า Garmin เล็กน้อย ผมลองคิดคร่าวเลยว่าถ้าบริษัทยังรายได้โตต่อเนื่อง ในอัตราการเติบโตระดับ 50% ต่อปีได้อีกสัก 3 ปี บริษัทน่าจะมี Operating leverage และเริ่มเห็นกำไรสุทธิบ้าง

ลองคิดกันแบบกาวๆเลย ถ้าบริษัทโตขึ้นอีก 2 เท่าและทำกำไรได้ 10% (Garmin ~20%) เป็นกำไร 60 ล้าน (ตอนมี Xiaomi เคยมีกำไรถึง 80 ล้าน) ราคาหุ้นวันนี้ ก็จะเหลือ P/E แค่ 11.6 เท่า…

ถ้าทำได้เท่านี้ใน 3 - 4 ปี สำหรับผมราคานี้ก็ถือว่าไม่แพง แต่ก็ต้องบอกว่าเราจะคาดหวังบริษัทที่เดิมรายได้ติดลบมาตลอด 2 ปี พลิกกลับมาโตได้ระดับนี้ ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ถือว่าคาดหวังสูงพอสมควร

ท้ายที่สุดแล้วผมก็คงบอกอนาคตไม่ได้ และของแบบนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วล่ะครับ ว่าเชื่อมั่นแค่ไหนว่าบริษัทจะสามารถทำได้ ตัวเลขทั้งหมดที่ผมให้ดูในด้าน Valuation ถือเป็นการคาดการณ์แบบคร่าวๆเท่านั้น ซึ่งถ้าใครสนใจ ก็ควรจะศึกษาเพิ่มเติม และลองประเมินตัวเลขกันเพิ่มเติมกันดูนะครับ

สำหรับผมมองว่า ZEPP เป็นหุ้นที่น่าสนใจ จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นดี น่าติดตาม แต่การที่ราคาขึ้นมา 15 เท่าแล้ว ก็ต้องบอกว่ามันก็มีโอกาสที่จะปรับฐานแรงๆได้เช่นกัน ก็ต้องระมัดระวังครับ ผมถือว่านี้เป็นตัวที่สอนผมในการมองหุ้นที่ Under Value มากๆ และกำลังกลับตัวมันเป็นยังไง


หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่อ่านมาจนจบ คิดเห็นยังไงแชร์กันได้เลยครับ

ฝากกดหัวใจ และ Subscribe ไว้เพื่อจะได้รับบทความตอนที่ผมลงได้ก่อนใครนะครับ🙏😊

Thanks for reading! Subscribe for free to receive new posts and support my work.

Follow us

Facebook Blockdit